โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น โรงเรียนสอนภาษาจีน แนวใหม่ เจซีซี
เทศกาลไหว้พระจันทร์
เทศกาลไหว้พระจันทร์中秋节
เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ตามจันทรคติ ของจีน ดังนั้น จึงเรียก ว่าเทศกาลเดือนแปด (เดือนกันยายน หรือตุลาคม) เป็นเทศกาลที่มีความสำคัญเทศกาลหนึ่ง ของชาวจีน เป็นวันซึ่งอยู่ในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงพอดีจึงอาจจะเรียกได้ว่า เทศกาล中秋 " จงชิว " ตามอักษรจีน中 จง แปลว่า กลาง 秋 ชิว แปลว่า ฤดูใบไม้ร่วง จงชิวจึงแปลว่า กลางฤดูใบไม้ร่วง
วันไหว้พระจันทร์ เป็นวันที่ชาวบ้านรับรู้และถือปฏิบัติมานมนามว่าเป็นวันที่มีเสน่ห์และโรแมนติกวันหนึ่ง โดยเฉพาะภายใต้พระจันทร์ขาวนวลผ่องกลม ๆ ที่ส่องอยู่บนท้องฟ้า วันนี้เป็นวันที่พระจันทร์กลมและใหญ่เป็นพิเศษ จึงเหมาะอย่างยิ่งที่บรรยากาศนี้จะเป็นโอกาสที่เหล่าหนุ่มสาวคู่รักนัดพบกัน 
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับต้นกำเนิดของเทศกาลนี้ ยังคงไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัด บ้างก็ว่าจักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์ฮั่น เป็นผู้ริเริ่มการฉลองเพื่อกราบไหว้พระจันทร์เป็นเวลา 3 วัน ในฤดูใบไม้ร่วงนี้ แต่หลายคนก็แย้งว่า ความจริงแล้วเทศกาลนี้เกิดขึ้นในราวปี พ.ศ. 1911 ในช่วงมองโกลยึดครองจีน
เล่ากันว่าในสมัยราชวงศ์หยวน ประชา ราษฎร์รวมตัวกันก่อปฎิวัติ โดยการสร้างกลอุบายในการปฏิวัติและปลดแอกชาติจีนออกจากการปกครองของพวกมองโกล ว่ากันว่า ในสมัยหนึ่งเป็นยุคที่มองโกลเรืองอำนาจและยึดครองจีนได้ ในการปกครองคนจีน พวกมองโกลได้ออกกฎว่าคนจีน 3 ครอบครัวต้องเลี้ยงดูคนมองโกลอย่างดี 1 คน มีการริบอาวุธของคนจีน อนุญาตให้มีได้เพียงมีดหั่นผัก 1 เล่ม แต่ใช้ร่วมกัน 3 ครอบครัว ความคิดที่จะกู้ชาติของชาวจีนที่รักความเป็นอิสระ ได้ออกมาในรูปของการแอบตั้งขบวนการใต้ดิน มีผู้คิดให้จัดงานไหว้ พระจันทร์ขึ้นมา มีการทำขนมไหว้พระจันทร์ที่จงใจออกแบบให้เป็นขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่ไส้หนาเป็นพิเศษ เพื่อใช้เป็นที่ซ่อนเอกสารในการติดต่อแล้วให้มีธรรมเนียมแลกขนมเปี๊ยะกันระหว่างญาติมิตร เป็นการตบตาพวกมองโกลได้อย่างแนบเนียน ภายในสาร ระบุเวลากำจัดคนมองโกล ว่าเที่ยงคืนของวันเพ็ญเดือน 8 ซึ่งเป็นคืนที่กำหนดให้มีงานไหว้พระจันทร์ ในคืนนั้น ทุกบ้านพร้อมใจกันจัดงานไหว้พระจันทร์ ประดับโต๊ะไหว้ให้สวยงาม เพราะเป็นการไหว้เจ้าแม่กวนอิม อาหารที่ไหว้ ใช้อาหารเจ มีผลไม้ และขนมไหว้พระจันทร์ พอเที่ยงคืนก็มีการตีเกราะเคาะไม้ส่งสัญญาณแก่กันว่าได้เวลาแล้ว ทุกครอบครัวก็พร้อมใจกันรุมฆ่าคนมองโกลด้วยมีดหั่นผักที่มีอยู่เล่มเดียวนั่นเอง เมื่อได้เอกราชคืนมา ชาวจีนจึงยึดถือเอาวันเพ็ญเดือน 8 เป็นวันไหว้พระจันทร์สืบต่อมา เพื่อรำลึกถึงการกู้ชาติจากพวกมองโก
 

จนกลายเป็นประเพณีขึ้นมา เหตุที่ทำขนมใส่ไส้มี ลักษณะกลมๆ นั้น เชื่อกันว่าความกลมของขนมหมายถึง การได้กลับมาอยู่พร้อมหน้า พร้อมตาของคนภายในครอบครัว อีกทั้งยังเชื่อว่า ดวงจันทร์ซึ่งมีลักษณะกลมนั้นเป็นสิ่งที่ดีเป็น สัญลักษณ์ของความสวยงาม และเป็นสื่อกลางของการคิดถึงซึ่งกันและกัน เมื่อสมาชิกใน ครอบครัวไม่สามารถหวนกลับมาได้ ก็แหงนมองดวงจันทร์ส่งความรู้สึกที่ดีส่งความคิดถึงไปสู่ ครอบครัวและคนที่รัก ดังนั้นชาวจีนส่วนใหญ่มักจะชื่นชอบค่ำคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวงอันหมายถึง การกลับสู่ครอบครัว แต่ก็มีบางคนที่ชื่นชอบดวงจันทร์เสี้ยว เพื่อจะได้มีวันที่ดวงจันทร์เต็มดวง ให้ชื่นชม
นอกจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้แล้ว ก็ยังมีนิทานและตำนานอีกหลายเรื่อง หนึ่งในจำนวนนี้ก็คือ เรื่องราวของอี้กับเทพธิดาฉางเอ๋อ ในตำนานเล่าว่า เทียนตี้ เทพแห่งฟ้าได้ เนรเทศอี้เทพบุตรผู้ซึ่งมีอาวุธเป็นธนูวิเศษ ลงมาจุติบนโลกมนุษย์และมีภรรยาชื่อฉางเอ๋อ มีอยู่วันหนึ่งหลัง
จากที่อี้ได้ยาอมตะจากพระแม่เจ้าหวังหมู่ จึงได้มอบให้ฉางเอ๋อเก็บรักษาไว้ เรื่องยาอมฤตได้ล่วงรู้ถึง เผิงเหมิง จึงลักลอบมาขโมยยาอมตะ จนเกิดการต่อสู้แย่งชิงกับฉางเอ๋อขึ้น ฉางเอ๋อไม่อาจรับมือกับเผิงเหมิงได้ นางจึงได้ฉกฉวยดื่มยาอมตะเสียเอง และทันใดนั้นร่างของนางก็โบยบินไปสู่ฟากฟ้า แต่ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อสามี ฉางเอ๋อจึงได้เลือกไปสถิตอยู่ ณ ดวงจันทร์ อันเป็นสถานที่ที่ใกล้กับโลกมนุษย์ที่สุด นางจึงกลายเป็นเทพธิดาสถิตอยู่บนดวงจันทร์ และอาศัยอยู่อย่างเดียวดาย มีเพียงกระต่ายน้อย คางคกและต้นกุ้ยซู่ลำต้นสูงใหญ่เท่านั้น ฝ่ายอี้เมื่อกลับถึงบ้านได้รับรู้เรื่องราวที่ฉางเอ๋อกลายเป็นเทพธิดา ก็ได้แต่ร่ำไห้ร้องเรียกหานาง และด้วยความอาลัยครั้นมองขึ้นไปบนดวงจันทร์ก็พบว่าฉางเอ๋อก็เฝ้าคอยอยู่เช่นกัน นับแต่นั้นมา จึงให้มีการจัดโต๊ะบูชาเทพธิดาแห่งพระจันทร์ ด้วยขนมและผลไม้ที่นางโปรดปราน และมีการอธิษฐานให้เทพแห่งพระจันทร์คุ้มครอง จนกลายเป็นประเพณีการบูชาเทพแห่งพระจันทร์จนถึงปัจจุบัน